เปิดตำนานอาถรรพ์ เสาหลักเมืองของญี่ปุ่น “ฮิโตบาชิระ“
ถ้าพูดถึงเสาหลักเมือง ไม่ใช้แค่ประเทศที่ที่มีพิธีกรรมลงเสาหลักเมือง แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็มีพิธีกรรมลงเสา หลักเมืองที่เรียกว่า ฮิโตบาริระ ซึ่งมีตำนานความเป็นมายังไง มีความเหมือนหรือคล้ายกัน กับประเทศไทยรึป่าว วันนี้เราได้นำข้อมูลเกี่ยวกับเสา หลักเมืองของญี่ปุ่น มาให้ได้อ่านกันในบทความนี้ครับ
ท่านสามารถติดตามเรื่องเล่า ตำนานความเชื่อ อีกมากมายได้ที่ คนมีดวง เว็บข่าวสารดีๆ เสริมความ ปังให้กับทุกๆคน
ฮิโตบาชิระ คืออะไร
ฮิโตบาชิระ คือ เป็นชื่อเรียกของพิธีกรรมบูชายัญสมัยโบราณของประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ด้วยการที่จะนำมนุษย์มา ฝังทั้งเป็น เพื่อใช้เป็นรากฐานของสิ่งปลูกสร้างที่มีความสำคัญ เช่น สะพาน เชื่อน อุโมงค์ โดยเฉพาะปราสาท เป็นต้น เพื่อเป็นคำอธิษฐานต่อเทพเจ้าให้การก่อสร้างนั้น สำเร็จลุล่วง และไม่ให้อาคารโดนทำลายจากธรรมชาติหรือโดยการโจมตีของศัตรู ความเชื่อนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนถึงช่วงประมาณศตวรรษที่ 16 อย่างไรก็ตาม แต่กลับมีข่าวลือว่าพิธีกรรมฮิโตบาชิระ ยังถูกนำมาใช้กับบางโครงการก่อสร้างในช่วงศตวรรษที่ 20 อีกด้วย
ความเชื่อของพิธีกรรมเสามนุษย์
ฮิโตบาชิระ เป็นพิธีกรรมเสียสละ เชื่อกันว่าการบูชายัญด้วยวิญญาณของมนุษย์จะช่วยทำให้วิญญาณแห่งธรรมชาติที่สิงสถิตอยู่ ณ สถานที่ที่กำลังก่อสร้างเกิดความพึงพอใจ โดยเฉพาะวิญญาณแห่งแม่น้ำ ซึ่งจะทำให้พิธีกรรมนี้ ได้รับความนิยมอย่างมากในพื้นที่ที่มักประสบปัญหาน้ำท่วม อีกทั้งยังเชื่อว่า จะช่วยป้องกันปราสาทจากการถูกโจมตีด้วยไฟ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ อีกด้วย
ใช้มนุษย์ที่เป็นเครื่องสังเวย ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเสาของอาคารตามชื่อ แต่จะทำหน้าที่เป็นเสาหลักในการเชื่อมต่อกับเทพเจ้า และหลายครั้งหลังจากที่ทำพิธีกรรมแล้วจะมีการตั้งอนุสรณ์หินขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้ที่ได้ทำพิธีฮิโตบาชิระ บางส่วนของอนุสรณ์เหล่านี้ก็ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนี้อีกด้วย
ตำนานพิธีกรรมเสาหลักเมืองฮิโตบาชิระ
ตำนานเสามนุษย์ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คือที่ ปราสาทมารุโอกะ จังหวัดฟุคุอิ เป็นหนึ่งในปราสาทไม้ที่เก่าแก่ และมีความสวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น แต่ก่อนการก่อสร้างนั้นมีความลำบากมาก ไม่ว่าจะพยายามสร้างกี่ครั้งเสาหินก็จะถล่มลงมาอยู่เสมอ มีแม่ม่ายนามว่า โอชิซึ ได้ถูกนำตัวมาเป็นเครื่องสังเวย โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือให้ลูกชายของโอชิซึ จะต้องได้เข้ามาเป็นซามูไรรับใช้ในปราสาท เธอจึงถูกฝังทั้งเป็นใต้เสาหลักของปราสาท และหลังจากนั้นการก่อสร้างปราสาทก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาใดๆ แต่หลังจากนั้นทุกปี เมื่อคูน้ำของปราสาทเอ่อล้นออกมา ยามฝนตกหนักในฤดูใบไม้ผลิ ชาวมารุโอกะจึงเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการแก้แค้นของ โอชิซึ และเรียกสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักนี้ว่า น้ำตาแห่งความโศกเศร้าของโอชิซึ ทำให้เริ่มมีการสร้างศิลาจารึก ไว้สำหรับเธอขึ้นภายในบริเวณของปราสาท เพราะเชื่อว่าช่วยปลอบโยนดวงวิญญาณของเธอให้สงบลงนั่นเอง
ปราสาทมารุโอกะ
ปราสาทมารุโอกะเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ปราสาทแห่งนี้ได้พังทลายลงทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1948 และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ในปีค.ศ. 1955 ปราสาทก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดยใช้วัสดุที่ได้เก็บกู้มาจากปราสาทหลังเดิม ปราสาทมารุโอกะเป็นผลงานสำคัญในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ซึ่งปราสาทแห่งนี้จึงถูกยกให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ หากต้องการจากเดินทางไปเที่ยวเยี่ยมชม คุณสามารถเดินทางไปยังปราสาทมารุโอกะและสวนคาสุมิกะโจ ได้ด้วยการรถบัสจากสถานีฟุคุอิ และสถานีอาวาระอนเซ็น
ซึ่งในการเดินทางจากฟุคุอิ ให้ขึ้นรถบัสเคฟุกุที่มุ่งหน้าไปยังปราสาทมารุโอกะ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ส่วนถ้าเดินทางจากสถานีอาวาระอนเซ็น ให้คุณขึ้นรถบัสเคฟุกุที่มุ่งหน้าไปยังปราสาทมารุโอกะ จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็จะสามารถไปถึงที่หมายได้นั่นเอง
สรุป
เปิดตำนานอาถรรพ์ เสา หลักเมืองของญี่ปุ่น “ฮิโตบาชิระ” ซึ่งการลงเสา หลักเมืองของญี่ปุ่นก็มีความคล้ายกับตำนานเสา หลักเมืองของไทย จะต่างกันแค่ตรงที่ไทยนั้นฝั่งคนทั้งเป็นเพื่อให้ดวงวิญญาณคนตายดูแลคอยเฝ้าที่ตรงนั้นเอาไว้ แต่ของญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่าเป็นการบูชายัญต่อเทพเจ้าให้ช่วยดูและรักษา ทั้งนี้เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเพียงตำนานหรือความเชื่อโบราณ ซึ่งในปัจจุบันปราสาทมารุโอกะก็เป็นสถานที่สวยงาม เป็นหนึ่งในที่น่าท่องเที่ยวที่สุดของประเทศญี่ปุ่นอีกหนึ่งที่เลยครับ
อ่านบทความจบแล้ว อย่าลืมเสี่ยงโชคกัย Lottosod59 เว็บออโต้กระเป๋าเดียวที่ดีที่สุด