บักเฮ้า ตำนานจระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอ จ.อุดรธานี

บักเฮ้า ตำนานจระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอ จ.อุดรธานี

 

บักเฮ้า ตำนานจระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอ จ.อุดรธานี

ถ้าพูดถึงจระเข้ยักษ์เชื่อว่าตำนานเล่านี้มีมากมากในทั้งประเทศไทย และต่างประเทศเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนอาจจะได้ฟังตำนานเกี่ยวกับจระเข้ของแต่ละในพื้นที่กันมาบ้าง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน และในวันนี้บทความนี้จะเล่าถึงหนึ่งตำนานของจระเข้ยักษ์ที่ถูกพูดถึงในประเทศไทยอีกหนึ่งตำนาน นั่นก็คือบักเฮ้า จระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานีนั่นเอง และเรื่องราวจะเป็นเช่นไรติดตามกันได้ในบทความนี้กันเลย

นอกจากตำนานจระเข้ยักษ์ ท่านสามารถติดตาม เรื่องราวตำนานอื่นๆอีกมากมายได้ที่ คนมีดวง เว็บข่าวสารดีๆ เสริมความปัง ให้กับทุกๆคน

ตำนานบักเฮ้า

เมื่อราวปีพ.ศ 2394 เมืองท่าขอนยาง ตำบลท่าขอนยาง จังหวัดมหาสารคาม ในปัจจุบันเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี ประชาชนมีความรักใคร่สามัคคีมีเจ้าเมืองชื่อว่าพระยาสุทัศน์ มีภรรยาชื่อว่านางจันทราทั้งสองมีลูกสาว 1 คนชื่อว่าคำบาง ซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่พ่อแม่รักมากพญาสุทัศน์ และนางจันทรา จึงมักจะสรรหาสิ่งต่างๆ มาเล่นเป็นเพื่อนกับลูกสาว และมีอยู่สิ่งหนึ่งที่พระยาสุทัศน์ หามาเล่นเป็นเพื่อนกับคำบางนั่นก็คือจระเข้ โดยนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนกับคำบางตั้งแต่ยังเล็กๆเลี้ยงเอาไว้ในลำน้ำชีหน้าจวนของเจ้าเมือง และตั้งชื่อให้กับจระเข้ตัวนี้ว่าฉันท์ แต่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าบักเฮ้า ทั้งสองอย่างถูกเลี้ยงดูอย่างดีจนกระทั่งคำบาง เป็นสาวอายุราว 17-18 ปี  โตเป็นหญิงสาวที่มีความสวยงามมาก สมกับเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองส่วนบักเฮ้า ก็มีขนาดลำตัวที่ใหญ่โตขึ้นมากๆมีความยาววัดจากหัวถึงหางยาวมากถึง 24 ซองหรือประมาณ 12 เมตร ทั้งคู่มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ถึงขั้นนางคำบางสามารถขึ้นขี่หลัง บักเฮ้าเที่ยวเล่นตามลำน้ำชีได้เลย จนวันหนึ่งช่วงเวลาประมาณ บ่าย 16:00 น คำบางได้ลงไปอาบน้ำที่ลำน้ำชี และขึ้นขี่หลังบักเฮ้าไปเที่ยวเล่น เหมือนทุกวัน แต่ทันใดนั้นได้มีจระเข้ตัวใหญ่ที่เป็นจระเข้ป่าอาศัยอยู่ในลำน้ำชีมีความใหญ่โตพอๆกับบักเฮ้า ซึ่งเป็นจระเข้ที่ดุร้ายชอบเที่ยวออกมาทำร้ายผู้คนแล้วสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านอยู่บ่อยครั้งชาวบ้านจึงเรียกมันว่าบักนนท์ เมื่อบักนนท์สังเกตเห็นคำบางนั่งอยู่บนหลังบักเฮ้า มันจึงรีบพุ่งเข้ามาหาอย่างเร็วหมายจะเอานางคำบางมาเป็นอาหาร แต่บักเฮ้ารู้ทันจระเข้ทั้งสองจึงเริ่มต่อสู้กัน 

บักเฮ้า ตำนานจระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอ จ.อุดรธานี

การต่อสู้ของจระเข้ยักษ์

เมื่อทั้ง 2 ตัวเริ่มต่อสู้กัน ด้วยขนาดที่ใหญ่มากๆของทั้งสองทำให้ลำน้ำชีตรงนั้นเกิดคลื่นกระแทก 2 ฝั่งอย่างรุนแรง เมื่อบักเฮ้าเห็นว่าการต่อสู้ครั้งนี้หนักหนา อีกทั้งนางคำบางนั่งอยู่บนหลังด้วย หากฝืนสู้ต่อไปคงจะไม่ไหวมัน จึงใช้ปากคาบนางคำบางแล้วก็ว่ายน้ำหนีอย่างรวดเร็ว แต่บักนนท์ว่ายน้ำตามมาเช่นกัน เพียงไม่นานมันก็ตามมาทัน และใช้ปากของมันกัดบักเฮ้าเข้าอย่างจัง บักเฮ้าจึงต้องต้องกลับมาต่อสู้กับมันอีกครั้ง และจังหวะที่กำลังวุ่นวายกับการต่อสู้บักเฮ้า เผลอกลืนคำบางลงไปในท้องพอการต่อสู้จบลงบักเฮ้าเป็นฝ่ายชนะ โดยที่จระเข้ยักษ์ที่ชื่อบักนนท์ จะต้องหนีไปพร้อมกับบาดแผลทั่วตัว หลังจากที่ได้รับชัยชนะบักเฮ้าก็รู้สึกผิดปกติก็ และรู้ตัวว่าได้เผลอกลืนคำบางลงไปในท้องแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามแต่มันก็คงไม่สามารถจะไปอธิบายให้พญาสุพัฒน์เข้าใจมันได้ และถ้าหากมันกลับไปอยู่ที่ท่าน้ำตามเดิมก็กลัวว่าหมอจระเข้ของพระยาสุทัศน์ จะฆ่ามันมันจึงจำเป็นจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุดนั่นเอง

 

การหลบหนีของบักเฮ้า

โดยมันเลือกที่จะหลบหนีไปทางตอนเหนือของลำน้ำปาว เพราะว่าตามลำน้ำชีนั้นมีหมู่บ้านตั้งอยู่ริมฝั่งมากมายอาจจะโดนคนพบเห็นเอาได้ จนมาถึงวังน้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่งบักเฮ้า จึงกบดานอยู่ในวังน้ำนั้น ฝ่ายเจ้าเมืองท่าขอนยางเมื่อทราบข่าวการตายของลูกสาวก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่าบักเฮ้า ที่ตนเลี้ยงดูอย่างดีจะกล้ากินคำบางลูกสาวของตนได้ลงคอ ทุกคนที่ทราบเรื่องต่างก็เครียดแค้นเป็นอย่างมากบรรดาหมอจระเข้ทั้งหลายต่างก็มาขออาสาไปปราบ พระยาสุทัศน์จึงแบ่งชุดตามล่าบักเฮ้าออกเป็น 2 ขบวน ขบวนที่ 1 มอบหมายให้ขุนบวรเป็นหัวหน้า ส่วนขบวนที่ 2 มอบหมายให้ขุนประจวบ เป็นหัวหน้า ซึ่งทั้ง 2 ขบวนจะช่วยกันล่าตัวบักเฮ้ากลับมาลงโทษให้ได้ ทั้ง 2 ขบวนตามล่าตัวบักเฮ้า จนมาถึงบริเวณบ้านลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ก็บังเอิญเจอรอยของบักเฮ้าอย่างชัดเจนปรากฏรอยตะกุยดินให้เห็นต้นไม้ต้นหญ้าล้มเป็นทางเข้า จึงพอจะเดาทางได้ว่ามันขึ้นไปทางเหนือขบวนหมอจระเข้เลยติดตามรอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินทางมาถึงวันน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งปรากฏรอยของบักเฮ้า ลงไปในน้ำอย่างชัดเจนขุนบวรและขุนประจวบจึงสั่งให้หมอจระเข้ลงไปล่าตัวมัน ขึ้นมาจากน้ำคนแรกชื่อหมอบุญ ลงน้ำไปตั้งแต่เช้าจนมืดก็ยังไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ หมอคนที่ 2 จึงต้องตามลงไปดูเวลาผ่านล่วงเลยไปจนถึงเช้าของอีกวันหมอจระเข้ทั้งสองคนก็ยังไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำ เหลือหมอคนสุดท้ายนั่นก็คือยาแม่คำหม่อนเป็นหมอจระเข้ผู้หญิง ซึ่งมีอายุมากแล้วได้พิจารณาไต่ตรองดูแล้ว คาดว่าหมอทั้งสองคงถูกกินไปแล้ว แต่เพื่อความแน่นอนจึงต้องลงไปตรวจดูอีก ครั้งยาแม่คำหม่อน ก็ใช้มนต์คาถาแหวกน้ำให้เป็นช่อง แล้วก็เดินเข้าไปตรวจดูจนทั่วบาง ซึ่งใต้วังน้ำก็ได้พบถ้ำหนึ่ง โดยมีบักเฮ้าอ้าปากบังปากถ้ำไว้ ยาแม่คำหม่อนจึงคาดว่าหมอทั้งสองน่าจะคิดว่านั้นคือทางเข้าถ้ำ และอาจจะเดินเข้าไปภายในปากบักเฮ้าอย่างแน่นอน ทางยาแม่คำหม่อนจึงได้ขึ้นจากน้ำ เพื่อแจ้งกับขุนบวรและขุนประจวบว่าเจอบักเฮ้าแล้ว แต่ต้องขอเวลาเตรียมของเพื่อจะไปปราบมันนั่นเอง

 

ปราบบักเฮ้า

เมื่อเตรียมของเสร็จแล้ว ยาแม่คำหน่อมก็ได้ร่ายเวทมนตร์คาถาแหวกน้ำลงไป เหมือนคราวก่อน ซึ่งยาแม่คำหม่อน ได้ถือเหล็กแหลมเดินเข้าไปในปากของบักเฮ้า เมื่อเห็นคนเดินเข้าไปในปากพอประมาณมันก็งับปากสุดแรงเสียงดังกึกก้องไปทั่วบังน้ำ ด้วยแรงงับทำให้เหล็กแหลมทะลุปากบนและปากล่างของบักเฮ้า พอเหล็กแหลมทะลุปากขึ้นมันแล้วยาแม่คำหน่อมก็ออกมาจากปากมัน และขึ้นไปบนฝั่งจึงบอกให้คนช่วยกันดึกเชือกกล้วยที่ติดกับหอกที่แทงทะลุปากของมัน เพื่อนำมันขึ้นมาบนฝั่งให้ได้ ซึ่งบักเฮ้าทนอยู่นาน 1 วัน 1 คืนเต็มจนมันรู้สึกอ่อนแรง และก็ได้ถูกนำขึ้นมาบนฝั่ง เมื่อขึ้นมาบนฝั่งมันก็นอนแน่นิ่งน้ำตาไหลตลอดเวลา พร้อมทั้งคิดว่าถ้าหากคนเหล่านี้ได้รู้สักนิดว่าที่มันต้องกลืนคำบางลงไปในท้องนั้น มันไม่ได้มีเจตนาเลยแต่ทำไปด้วยความกลัวว่านางคำบางจะได้รับอันตรายจากบักนนท์เพียงแค่นั้น ซึ่งมันรับผิดทุกอย่างมันนอนนิ่งๆให้ผู้คนรุมฆ่าอาวุธต่างๆมากมายถูกฟาดฟันลงมา บนร่างของบักเฮ้า แต่ถึงมันจะเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่ยอมดิ้นให้คนเหล่านั้นได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับตั้งจิตมั่นว่าเมื่อมันตายไปจะขอเป็นผีเฝ้าวังน้ำแห่งนี้ไปตลอดหลังจากบักเฮ้าได้ตายลง ก็ได้ผ่าท้องมันปรากฏว่าก็ได้เจอกับกระดูกของหมอจระเข้ทั้งสอง และก็เจอกระดูกศีรษะของนางคำบางอีกด้วย และทั้งสามร่างก็ได้ถูกนำกับไปทำพิธีทางศาสนา แต่ถึงบักเฮ้าจะตายไปวิญญาณของมันก็ยังคงอยู่ในวังน้ำแห่งนี้ ทำให้กลายเป็นเรื่องเล่ามากมายและผู้คนก็เล่าว่า เมื่อไปถึงฝั่งก็จะเห็นจระเข้ขนาดใหญ่ยักษ์โผล่หัวขึ้นมาให้เห็นคราวละไม่น้อยกว่า 3 ตัว และด้วยความเฮี้ยนตรงนี้ผู้คน จึงเรียกวังน้ำแห่งนี้ว่าวังสามหมอ จนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง 

 

สรุป 

ตำนานจระเข้ยักษ์แห่งวังสามหมอเป็นเรื่องราวที่ถูกเล่ามาตั้งแต่อดีต เป็นตำนานความเชื่อเกี่ยวกับจระเข้ยักษ์ที่ปกป้องคนที่ตนรักเหมือนครอบครัว แต่เกิดทำพลาดจนเผลอกลืนนางลงท้องไป และด้วยกลัวความผิดจึงได้หนีไปหลบซ่อนอยู่ในวังน้ำแห่งหนึ่งที่ในปัจจุบันเรียกว่าวังสามหมอ ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานีนั่นเอง และจระเข้ยักษ์ก็ได้ถูกปราบและตายลงที่นี่ จนเชื่อว่าวิญญาณของมันยังยงเฝ้าอยู่ในวังน้ำแห่งนี้และกลายเป็นเรื่องเล่ามาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

สุดท้ายนี้ ขอแนะนำสิ่งดีๆ ที่จะช่วยสร้างโชคลาภให้ทุกท่าน Lottosod59 เว็บออโต้กระเป๋าเดียวที่ดีที่สุด