ตำนานภูตแฟรี่ นางฟ้าตัวจิ๋วผู้พิทักษ์ป่า
ถ้าพูดถึงตำนานภูตป่าหรือแฟรี่ เชื่อว่าหลายคนคงจะจำภาพในรูปแบบของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีขนาดตัวที่เล็กกว่ามนุษย์หลายสิบเท่ามาก มีหูที่แหลมคล้ายกับเผ่าเอลฟ์ และที่สำคัญคือมีปีกคล้ายกับผีเสื้อหรือแมลง และสามารถบินได้อย่างรวดเร็วจนในตำนานว่ากันว่าคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่จะรู้จักภูตแฟรี่กันประมาณนี้ ซึ่งตำนานภูตป่าหรือแฟรี่เป็นตำนานที่มีอยู่ทั่วโลกในรูปแบบของภูตขนาดจิ๋วภูตตัวเล็กหรือผีพรายที่อาศัยอยู่ในป่า เป็นวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในป่าไม้ซึ่งแต่ละที่ ก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปแต่ส่วนใหญ่ตำนาน จะบอกว่าภูตแฟรี่จะอาศัยอยู่ในรูปแบบของมนุษย์จิ๋ว และจะพบเจอได้ในป่าลึกหรือภูเขาใหญ่เพียงเท่านั้น
มีตำนานอีกมากมายรอให้ท่านได้พิสูจน์ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่ คนมีดวง เว็บข่าวสารดีๆเสริมความปังให้กับทุกๆคน
ลักษณะนิสัยของภูตป่าตามตำนาน
ตามข้อมูลชื่อที่คนส่วนใหญ่จะรู้จักภูตป่าพวกนี้ จะมีชื่อเรียกอยู่ 3 ชื่อคือ แฟรี่ (Fairy) ฟาร์ชีห์ (Fer Sidhe) พิกซี่ (Pixy) โดยชื่อทั้งหมดนี้เป็นชื่อของภูตป่าหรือพูดขนาดจิ๋วทั้งหมดเลย ซึ่งลักษณะของทั้ง 3 ตัวนี้ไม่ได้แตกต่างกันมากแต่ข้อแตกต่างของ 3 ตัวนี้มีอยู่เล็กน้อยคือ อย่าง แฟรี่กับฟารชีห์ จะเป็นลักษณะภูตที่มีนิสัยสนุกสนานร่าเริง และเป็นมิตรต่อมนุษย์ ว่ากันว่ามีพลังพิเศษที่สามารถทำให้ผลไม้ในป่าเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และถ้าเกิดผู้ใดที่มีอาการอ่อนล้าปวดเมื่อยมีอาการป่วยอยู่ได้กินผลไม้ที่เหล่าภูตแฟรี่นี้ ที่ทำให้เจริญเติบโตขึ้นนั้น จะทำให้อาการปวดเมื่อยนั้นหายไปได้อย่างปลิดทิ้งเลย ส่วนพิกซี่จะแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย คือพิกซี่จะเป็นผู้ตัวจิ๋วที่มีลักษณะขี้เล่นแล้วก็ขี้แกล้งมากกว่าแฟรี่กับฟาร์ชีห์ และก็จะมีพลังที่แตกต่างกันออกไปอีก 1 อย่างคือถ้าเกิดสมมุติใครทำให้พิกซี่โกรธ หรือทำให้ไม่พอใจพิกซี่ก็จะทำให้คนนั้นเจอแต่เรื่องซวยๆ เจอแต่เรื่องแย่ๆ ว่ากันว่าเคยมีคนไปเจอกับพิกซี่ และไปก่อกวนทำให้ไม่พอใจพิกซี่จึงสาปมนตร์ใส่คนนั้น ทำให้คนๆนั้นดวงซวย และในขณะที่เดินทางกลับเขาได้พลัดตกเขา และเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้นเอง
ความเชื่อทางยุโรป
ความเชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับภูตแฟรี่นี้ส่วนใหญ่จะถูกพูดถึงมาก ในแทบของชาวยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อว่าตำนาน ภูตแฟรี่นี้มีอยู่จริงซึ่งตามความเชื่อของพวกเขา ได้บอกว่าตามป่าตามเขาที่พวกเขาไปอาศัยอยู่หรือไปเที่ยวกันน่าจะมีนางฟ้า อาศัยอยู่เพื่อปกปักรักษาผืนป่าเหล่านั้น เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเห็นพวกเธอได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้เลย จะมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ภูตป่าเหล่านี้ จะออกมาให้เห็นโดยภูตป่าหรือแฟรี่ เขาบอกว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนดี และเป็นคนที่มีจิตใจสะอาด ภูตแฟรี่จึงจะเผยตัวออกมาให้เห็นเพื่อที่จะมาเล่นสนุก และให้พรกับคนคนนั้นนั่นเอง ซึ่งตรงนี้คือความเชื่อที่ควรยุโรปส่วนใหญ่เขาเชื่อกันนั้นเอง
H4 หลักฐานการพบเจอ
ข้อมูลที่ถูกบันทึกได้บอกไว้ว่าเมื่อประมาณปี 1917 ได้มีเด็กผู้หญิง 2 คนที่มีชื่อว่า Elsie Wright กับ Frances Griffiths ทั้งคู่ได้ถ่ายรูปติดสิ่งมีชีวิตประหลาดได้ โดยสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้น มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ แต่ตัวที่เล็กกว่ามนุษย์หลายเท่า และมีปีกคล้ายกับผีเสื้อรอยอยู่บริเวณรอบๆตัวเธอ ซึ่งภาพนี้ถูกบันทึกไว้ตามข้อมูลคือเป็นพื้นที่บริเวณภูเขาคอททิงเลย์ (Cottingley) ในประเทศอังกฤษ ซึ่งภาพที่ถ่ายได้คือภาพจากกล้องของพ่อพวกเธอ แล้วพวกเธอยังบอกอีกว่าได้ไปเจอกับภูตแฟรี่มาและได้ไปเล่นกับ ภูตป่าเหล่านั้นพร้อมกับยืนยันอีกว่าภูตแฟรี่เหล่านั้นคือเพื่อนของพวกเธอ ซึ่งในตอนแรกพ่อของเด็กทั้งสอง ก็คิดว่าเป็นเรื่องเล่นเป็นเรื่องการหยอกล้อคิดว่าเป็น ภาพที่แต่งขึ้นมาแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ในเวลาอีก 2 เดือนต่อมาพวกเธอทั้งสองก็ได้ถ่ายภาพกับพวกภูตป่าอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้แปลกกว่าครั้งที่แล้ว เพราะครั้งนี้ภูตที่พวกเธอเจอไม่ใช่ ภูตแฟรี่ นั้นเองแต่เป็นภูตอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าโนม
ภูตโนม (Gnome)
ซึ่งโนมมีลักษณะคล้ายกับคนแคระ ที่ตัวเล็กมากมีส่วนสูงประมาณ 50 – 80 เซนติเมตรเท่านั้น ภูตป่าเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในบริเวณต้นไม้หรือรากต้นไม้ และจะออกมาหากินหรือออกมาหาอาหารในช่วงเวลากลางคืนที่ไม่มีมนุษย์มาพบเจอพวกเขานั้นเอง ซึ่งการถ่ายภาพติด ภูตครั้งนี้เลยทำให้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะว่าพ่อของพวกเธอได้นำภาพของภูตโนมตัวนี้ ส่งให้กับ Sir Arthur Conan Doyle ที่เป็นผู้แต่งเรื่อง Sherlock Holmes ขึ้นมา เพราะพ่อของพวกเธอต้องการให้เขาช่วยพิสูจน์ภาพเหล่านี้ ว่าเป็นภาพจริงหรือเปล่าหรือเป็นภาพที่เกิดขึ้นมาจากการแต่งภาพการซ้อนภาพ และการอัดภาพออกมาปรากฏว่าผลที่ออกมาจากการวิจัยของ Sir Arthur Conan Doyle นั่นก็คือรูปนี้เป็นรูปจริงไม่มีการซ้อนภาพ หรือการตัดแต่งภาพแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้เลยเป็นเรื่องที่ทำให้โลกต้องจับตามอง เพราะ Sir Arthur Conan Doyle ได้ป่าวประกาศและกระจายข่าวไปทั่วว่ามีเด็กผู้หญิง 2 คนพบภูตป่าบนภูเขาในบริเวณเทือกเขาคอททิงเลย์ (Cottingley) และได้มีการนำรูปถ่ายนั้นไปลงในนิตยสารของเขา พร้อมกับยืนยันรายเซ็นจาก Sir Arthur Conan Doyle ว่ารูปนี้เป็นรูปจริงไม่ได้มีการตัดต่อ แต่ตรงนี้มันก็ยังมีทั้งคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อสำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาก็ได้ไปหา Sir Arthur Conan Doyle แล้วบอกว่าเขาต้องการภาพอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเด็กเหล่านั้นพูดความจริงไม่ได้โกหกและไม่ได้แต่งภาพขึ้นมาทาง Sir Arthur Conan Doyle จึงได้บอกให้เด็กสองคนนั้นไปถ่ายรูปกับ ภูตแฟรี่ เพิ่มขึ้นมาปรากฏว่าเด็กหญิงทั้งสองคนก็ได้ไปถ่ายรูปของ ภูตแฟรี่ เพิ่มขึ้นมาอีก 3 รูปซึ่งทั้ง 3 รูปล่าสุดที่ได้ถ่ายมา ก็เป็นที่ถกเถียงกันอย่างหนาหู และเป็นระยะเวลานานมาก ว่าสรุปภาพนี้เป็นภาพจริงหรือภาพแต่ง สุดท้ายแล้ว Sir Arthur Conan Doyle ก็ได้ออกมาป่าวประกาศว่ารูปใหม่ทั้ง 3 รูปที่ถูกถ่ายได้เป็นรูปจริงไม่มีการตกแต่ง และในเวลาต่อมาในช่วงที่เป็นกระแสภาพถ่ายติดคู่กับ ภูตแฟรี่ กำลังโด่งดังคนจำนวนมากก็แห่กันไปที่ภูเขาเพื่อที่จะไปพิสูจน์ความจริงว่าภูตป่า มีอยู่จริงหรือเปล่าแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบเจอกับภูตแฟรี่เลยสักคนเดียว ซึ่งทาง Sir Arthur Conan Doyle ก็ยังยืนยันอย่างหนักแน่นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตว่า ภูตแฟรี่ นั้นไม่ใช่เทพไม่ใช่ตำนานแต่เป็นอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ ที่มีตัวตนจริงอยู่บนโลกนั้นเอง
สรุป
ภูตป่าหรือภูตแฟรี่เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับ ที่เป็นตำนานที่พูดถึงกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเหตุการณ์ที่พูดถึงในบทความความนี้ก็ยังมีข้อสรุปอีกหนึ่งอย่างนั้นก็คือ ในวันที่ 24 พ.ค. 1965 เด็กหญิงทั้งสองได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ภาพที่เธอถ่ายติดภูตแฟรี่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพที่ พวกเธอนำกระดาษมาตัดแต่งและผูกไว้ตามจุดต่างๆเพียงเท่านั้น แต่เธอยืนยันว่ามีอยู่หนึ่งภาพที่เธอถ่ายติดกับภูตแฟรี่จริงๆ ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ได้ถูกพูดถึงและกลายเป็นเพียงความเชื่อว่าภูตแฟรี่นี้มีอยู่จริงหรือไม่นั้นเอง
มีตำนานอีกมากมายรอให้ท่านได้พิสูจน์ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่ คนมีดวง เว็บข่าวสารดีๆเสริมความปังให้กับทุกๆคนมีตำนานอีกมากมายรอให้ท่านได้พิสูจน์